- กอล์ฟมีกี่หลุม
- สนามกอล์ฟที่ผมเจอมา ก็จะมี
9หลุม, 18หลุม,27หลุมก็
แล้วแต่สนาม
สนามที่เป็น 9
หลุมส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสนามเล็ก
ๆ
ที่อาจจะอยู่ในตัวเมืองที่มีพื้นที่จำกัดอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสนามสำหรับซ้อมมือก็ว่าได้...โดยปรกติทั่วไปแล้วสนามกอล์ฟมาตรฐานจะประกอบไปด้วยหลุมทั้งหมด
18 หลุม
โดยแบ่งเป็นครึ่งแรกและครึ่งหลังอย่างละ
9 หลุม ซึ่งถ้าดูในScore Card
หรือกระดาษจดแต้ม
ก็จะมีระบุบอกไว้ว่าเป็น IN 9หลุม
และ OUT 9 หลุม ในจำนวนทั้งหมด 18
หลุมถ้านับพาร์มาตรฐานแล้วจะอยู่ที่
72 หรือที่เรียกว่า พาร์ 72
- ส่วน 27
หลุมนั้นโดยปรกติแล้วการเล่นที่
18 หลุมก็นับว่าพอดีสำหรับหนี่งแมทช์การแข่งขันแล้วคือพอดีกับเวลาที่เล่น
และกำลังของนักกีฬาแล้ว(บางคนแรงเยอะ
ก็ไม่ว่ากัน)
แต่ที่สนามบางสนามมีถึง 27
หลุมก็คงเป็นเพราะมีลูกค้ามากจนสนามไม่พอก็เลยใช้วิธีวนสลับสนามกัน
อย่างเช่นมี Course A-B-C
ทางสนามก็อาจจะจัดให้
กลุ่มลูกค้าแรกเล่นจาก Course AและB/
กลุ่มที่ 2 เล่นCourse BและC/
กลุ่มที่3 เล่นCourse CและA
ก็จะทำให้สนามนั้นสามารถรองรับผู้เล่นได้มากขึ้นและสามารถที่จะเริ่มเล่นพร้อมกันในเวลาเดียวกันได้ถึง
3 สนาม
- ****** ส่วนหลุมที่ 19
เป็นการเย้าแหย่กันนะครับว่าบรรดาพ่อบ้านทั้งหลายแอบไปเล่นกีฬาอื่นที่ไม่ใช่กอล์ฟเพิ่มขึ้นอีก
1 หลุม
อันนี้ก็ต้องระวังหัวแตกไว้ด้วยก็แล้วกัน*******
|
- พาร์ ( PAR ) คืออะไร...
- พาร์คือการตีที่สามารถให้ลูกกอล์ฟลงหลุมได้
โดยที่จำนวนครั้งในการการตี(สโตร์ค)จะต้องได้เท่ากับจำนวนที่หลุมกำหนด
เช่นหลุมที่ 1
เป็นหลุมที่มีระยะทางเท่ากับ
450 หลา
มีป้ายกำหนดไว้ที่หลุมว่าเป็นพาร์5
นั่นหมายถึงว่า
ถ้าผู้เล่นตีลูก 5
ครั้งแล้วลูกลงหลุมผู้เล่นนั้นก็จะได้
พาร์
|
- เบอร์ดี้ (Birdie) คืออะไร...
- เบอร์ดี้คือ
การที่ผู้เล่นสามารถตีให้ลูกลงหลุมได้โดยที่จำนวนครั้งในการตีต่ำกว่าพาร์ที่หลุมกำหนดไว้
1สโตร์คหรือว่า 1 แต้ม
เช่นหลุมที่ 1
สนามกำหนดไว้ว่าเป็นพาร์ 5
แต่ถ้าผู้เล่นตีเพียง 4
ครั้งแล้วลงหลุมก็คือเป็นการได้เบอร์ดี้ในหลุมนั้น
|
- อีเกิ้ล (Egle)คืออะไร...
- อีเกิ้ล คือ
การที่ผู้เล่นสามารถตีให้ลูกลงหลุมได้โดยที่จำนวนครั้งในการตีต่ำกว่าพาร์ที่หลุมกำหนดไว้
2สโตร์คหรือว่า 2 แต้ม
เช่นหลุมที่ 1
สนามกำหนดไว้ว่าเป็นพาร์ 5
แต่ถ้าผู้เล่นตีเพียง 3
ครั้งแล้วลงหลุมก็คือเป็นการได้อีเกิ้ลในหลุมนั้น
แต่ถ้าเป็นพาร์3
แล้วได้ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ 2
แต้ม
นั่นก็หมายความว่าตีเพียงครั้งเดียวแล้วลง
กรณีนี้จะเรียกว่าส
โฮล-อิน-วัน
|
- โบกี้ (
Bogey )
- คือการที่ผู้เล่นตีเกินพาร์ไป
1 สโตร์ค
|
- Albatross
- การตีได้คะแนน 3 สโตร์ค
หริอ 3แต้มต่ำกว่าพาร์โดยทั่วไปในหลุมพาร์
5 หมายถึงการตี 2 สโตร์คเท่านั้นลูกก็ลงหลุมแล้ว
หรือการตีได้ โฮล-อิน-วัน
ในหลุมพาร์ 4
|
- ไปสนาม + เริ่มเล่น
- ก่อนเริ่มเล่นดูมารยาทนักกอล์ฟกันก่อนไหมคลิกที่นี่ได้เลยครับ
- การเริ่มเล่นหลังจากที่ติดต่อคลับเฮาส์(
Club House)จ่ายค่าสนาม( Green Fee)และค่าแคดดี้แล้วก็นำคูปองไปติดต่อสตาร์ทเตอร์
หรือผู้ควบคุมการ
ปล่อยผู้เล่นกอล์ฟ
แต่ละกลุ่ม(ก๊วน)ลงสนาม
กันไม่ให้ก๊วนหลังตีไปโดนก๊วนหน้าและบางทีสนามที่เราไปเล่นคนเยอะไปสตาร์ทเตอร์อาจพาเราไปเริ่มจาก
คอร์ดอื่นที่คนเล่นน้อยกว่า
จำนวนผู้เล่นในแต่ละก๊วนโดยปรกติทางสนามทั่วไปจะกำหนดให้เล่นรวมกันได้ไม่เกิน
4
คนเพราะถ้าเยอะเกินนี้แล้วก็จะทำ
ให้เล่นได้ช้าขวางทางกลุ่มข้างหลังเอา
เว้นเสียแต่ว่าบางสนามคนไปเล่นน้อย
โดยเฉพาะวันธรรมดาทางสนามอาจจะอนุญาตให้เล่นเกิน
4 คนได้...แต่ผมว่า
ถ้าเกินนี้ก็น่าจะแบ่งกลุ่มเล่นดีกว่าจะได้เสร็จเร็วและ
ไม่ต้องรอกันให้เสียอารมณ์
|
- ี่ ทีออฟ ( TEEOFF)
- เวลาที่เรานัดเพื่อนไปตีกอล์ฟเพื่อนอาจจะถามเราว่า
ทีออฟกี่โมง...นั่นหมายถึงว่า
เราจะเริ่มสตาร์ทเล่นกอล์ฟหรือว่าตีลูกออกจากหลุมแรกกี่โมง
ซึ่งเวลาที่เราโทรไปจองสนามก็เช่นเดียวกันเจ้าหน้าที่สนามก็จะถามเราเหมือนกัน
|
- จะเล่นกติกาแบบไหนดี
- โดยปรกติแล้วการเล่นจะแบ่งเป็น
2 แบบคือแมทเพลย์ กับ สโตร์คเพลย์
- การเล่นแบบแมทเพลย์
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ
นับหลุม ในจำนวน 18
หลุมใครชนะจำนวนหลุมมากกว่าก็เป็นผู้ชนะไป
โดยไม่สนใจว่าคะแนนรวมจะได้เท่าไหร่
ซึ่งถ้าดูแล้วก็คือใครชนะ
10
หลุมก่อนก็เป็นอันชนะไป
- การเล่นแบบสโร์คเพลย์
เป็นการเล่นที่นิยมเล่นกันอยู่ทั่วไป
ก็คือต้องเล่นจนครบ 18
หลุมแล้วดูแต้มรวม(จำนวนครั้งการตีรวม)ของทั้ง
18
หลุมว่าใครได้น้อยกว่าก็จะเป็นผู้ชนะไป
อย่างที่บอกไปแล้วตอนต้น
ว่า 18
หลุมโดยมาตรฐานจะมีจำนวนพาร์รวม
หรือจำนวนรวมของการบังคับให้ตีลงต่อหลุม
เท่ากับ 72
ซึ่งเราก็คงจะได้ยินผู้ประกาศข่าวบอกผลการเล่นของนักกอล์ฟว่า
ออก 8 อันเดอร์พาร์ 64 ก็คือ
พาร์รวม 72
แต่จำนวนครั้งการตีน้อยกว่าที่กำหนดไป
8 ก็จะได้เท่ากับ 72-8 = 64
|
- เริ่มเล่นเสียที
- สตาร์ทเตอร์คือคนที่กำหนดให้เริ่มเล่นในหลุมแรก
แต่ถ้าสตาร์ทเตอร์เอาแต่เก็บคูปองกรีนฟรีกับแคดดี้ฟรี(
คูปองค่าสนามกับค่าแคดดี้
)
แล้วหนีไปไม่ยอมดูละก็ถามแคดดี้เอาก็แล้วกันว่าตีได้หรือยัง
แต่ถ้าโชคร้ายเจอแคดดี้มือใหม่ถามอะไรก็ไม่รู้อีกละก็(สนามนี้แย่จัง)
ก็จะต้องดูเองแล้วละครับ
วิธีการดูก็คือ
- 1) ให้ดูก๊วนหน้าที่ตีก่อนเราว่าเขาตีครั้งที่สองออกไปหรือยังถ้าเขายังไม่ตีครั้งที่2ละก็อย่าพึ่งตีเป็นอันขาดถึงแม้เขาจะตีไกล
สุดกู่จนเราคึดว่าตีไม่ถึงเขาก็ตาม
- 2)
ถึงเขาจะตีครั้งที่ 2
ออกไปแล้ว แต่...ถ้าไปเจอก๊วนหน้าที่ตีไม่เก่งแล้วละก็
บางที่ตีไปแล้วตั้งสองสามครั้งแล้วก็เถอะ
อาจจะป๊อกแป๊กอยู่แถวข้างหน้าเรา
ก็เป็นได้
อย่าพึ่งไปโมโหเขานะ..คึดถึงวันที่เราตีครั้งแรกเข้าไว้นะ
ยิ่งกว่านี้เยอะเลย
- จะตีหรือยัง !!! เอาละซิ
มีจุดทีออฟตั้งหลายจุดจะเล่นจุดไนดี
มีทั้งที่วางลูกบอล(หมุด)สีน้ำเงิน,สีเลือง,สีขาวแล้วก็แดง
- หมุดน้ำเงิน
ไกลสุด ทีออฟสำหรับมือโปร
- หมุดสีเหลือง
สำหรับ ซีเนียร์โปร (
ในที่นี้หมายถึง โปรสูงอายุนะครับ
ก็เลยเรี่ยวแรงหดหายไปตามอายุ
)
- หมุดขาว
ก็เป็นของชายหนุ่มทั่วไปที่ยังเล่นกันไม่เก่ง
- หมุดแดง
สำหรับสุภาพสตรีครับ
-
เอาละครับทีนีก็เลือกที่ปักทีวางลูกแล้วก็ตีได้ครับ.....แต่ระวังอย่าปักลูกล้ำแนวหมุดนะครับถูกปรับแต้มไม่รู้ด้วย...
|
- เขียนสกอร์การ์ด...อ่านคะแนน
- ส่วนใหญ่แล้วสกอร์การ์ดจะได้รับพร้อมกับคูปองกรีนฟรีหรืออาจจะรับแจกจากสตาร์ทเตอร์
ลองเปิดดูซิครับ
ถ้าเป็นสนามกอล์ฟที่มี 3
คอร์ด ก็จะมีให้ 3ส่วนและส่วนใหญ่จะแบ่งเรียกว่าเป็นคอร์ด
A,Bแล้วก็C
บางที่ก็อาจจะเรียกตามลักษณะสนามว่าเป็น
ภูเขา-ทะเลสาบ หรือ ทราย
แต่ละส่วนของสกอร์อการ์ดก็จะมีคอร์ดละ
9 หลุม
แต่ละหลุมก็จะมีระบุว่าเป็นพาร์อะไร
ระยะเท่าไหร่ตามระยะของหมุดน้ำเงิน,เหลือง,ขาวและแดงบอกไว้
ทีนี้ก็ถึงการนับละครับ..ผมจะบอกวิธีการนับและการลงของการเล่นแบบสโตร์คเพลย์ก่อนนะครับเพราะโดยทั่วไปจะนิยมเล่นกันแบบนี้มากกว่า...ก็นับตามจำนวนที่ตี
แล้วก็พัตจนลงหลุมละครับ...วิธีการลงเท่าที่เห็นก็มี
2 แบบละครับถ้าอย่างทั่ว
ๆ ไป ตีไป
กี่ครั้งก็ลงไปตามจำนวนที่ตีในช่องของหลุมที่เราเริ่มตีนั่นละครับอีกแบบก็คือนับแต้มเทียบกับพาร์
เช่น ถ้าตีหลุมพาร์ 5
ถ้าตี 4 ครั้งลง
ก็จะลงในช่อง= -1 (เรียกว่าไดเบอร์ดี้)
แต่ถ้าตี 5
ครั้งลงก็เขียนตัว E
ลงไปหมายถึง Even (
เรียกว่าได้พาร์ ) ตี 6
ครั้งลงก็ลงว่า = +1(โบกี้)
ก็คือได้เกินหรือต่ำกว่าพาร์เท่าไหร่ก็บวกลบลงไปตามนั้น
พอเล่นจบ 9
หลุมก็รวมคะแนน 9
หลุมแล้วเอาไปบวกกับจำนวนพาร์รวมของ
9 หลุมคือ36
ว่าจะได้แต้มรวมกี่สโตร์ค
แล้วพอเล่น 9
หลุมหลังก็รวมอีกครั้ง (ครึ่งแรก
9 ครึ่งหลัง 9) ดูว่าทั้ง 18
หลุมได้เท่าไหร่
|